ยุคจักรวรรดิ
วิหารพาร์เธนอนแสดงถึงความรุ่งเรืองของอารยธรรมกรีกโบราณ
ช่วงพันปีระหว่าง 500 ปีก่อนคริสตกาลจนถึง ค.ศ. 500 เกิดจักรวรรดิที่กว้างใหญ่อย่างไม่เคยมีมาก่อน กองทัพที่ถูกฝึกมาอย่างดี อุดมการณ์ที่เป็นหนึ่งเดียว และการปกครองที่เป็นระบบทำให้จักรพรรดิสามารถปกครองประชากรภายใต้อาณัติถึงหลายสิบล้านคน
ประวัติศาสตร์โลกช่วงนี้เป็นช่วงที่เทคโนโลยีก้าวหน้าค่อนข้างช้าแต่มั่นคง พัฒนาการครั้งสำคัญอย่างโกลนและคันไถจะเกิดขึ้นทุกๆ สองสามศตวรรษ อย่างไรก็ตามในบางภูมิภาคกลับมีช่วงพัฒนาทางเทคโนโลยีอย่างรวดเร็วมากเช่นแถบเมดิเตอร์เรเนียนในช่วงเฮเลนิกมีสิ่งประดิษฐ์คิดค้นจำนวนมาก [29] [30] [31] ช่วงพัฒนาดังกล่าวตามมาด้วยช่วงการถดถอยทางเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นระหว่างการล่มสลายของจักรวรรดิโรมันและช่วงยุคกลางตอนต้นที่ตามมา
อำนาจของจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่เกิดจากการผนวกดินแดนโดยใช้กำลังทหารและการตั้งถิ่นฐานเพื่อปกป้องศูนย์กลางทางการเกษตร[32] สันติภาพชั่วคราวที่เกิดจากระบบจักรวรรดิก่อให้เกิดเส้นทางการค้าขายระหว่างประเทศ เส้นทางที่โดดเด่นที่สุดได้แก่เส้นทางการค้าหลายสายในแถบเมดิเตอร์เรเนียนซึ่งเกิดในยุคเฮเลนิสติกและเส้นทางสายไหม
แผนที่โลกของทอเลมี สร้างขึ้นตามหนังสือ Geographia
จักรวรรดิทุกแห่งต่างเผชิญกับปัญหาเดียวกันคือการจัดการกองกำลังทหารขนาดใหญ่และการสร้างการปกครองแบบรวมศูนย์อำนาจ ความยุ่งยากในการปกครองประชากรทั้งหมดทำให้เจ้าของที่ดินขนาดใหญ่เริ่มมีอำนาจมากขึ้นและท้าทายระบบการรวมศูนย์อำนาจ การโจมตีจากชนเผ่าอนารยชนต่างๆ ตามขอบชายแดนทำให้การปกครองส่วนกลางเริ่มระส่ำระสาย เกิดสงครามกลางเมืองในจักรวรรดิฮั่นของจีนในคริสต์ศตวรรษที่ 220 ในขณะเดียวกันก็เกิดการแบ่งขั้วและแยกศูนย์อำนาจขึ้นในจักรวรรดิโรมัน
ในโลกตะวันตก ชาวกรีกได้สร้างอารยธรรมซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของอารยธรรมตะวันตกในปัจจุบัน จนหลายศตวรรษต่อมาในช่วงศตวรรษที่ 3 ก่อนคริสตกาล ชาวโรมันเริ่มขยายเขตแดนด้วยการใช้กำลังทหารและการล่าอาณานิคม ในยุคสมัยจักรพรรดิออกัสตัส(ปลายศตวรรษที่ 1 ก่อนคริสตกาล) โรมยึดครองอาณาเขตทั้งหมดรอบเมดิเตอเรเนียน ในยุคสมัยจักรพรรดิทราจัน(ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 2) โรมยึดครองอาณาเขตส่วนใหญ่ของอังกฤษและเมโสโปเตเมีย
ศตวรรษที่ 3 ก่อนคริสตกาล อาณาเขตส่วนใหญ่ของเอเชียใต้ถูกรวบรวมเป็นจักรวรรดิโมริยะโดยพระเจ้าจันทรคุปต์เมารยะ และรุ่งเรืองที่สุดในยุคพระเจ้าอโศกมหาราช คริสตวรรษที่ 3 จักรวรรดิคุปตะเข้าครอบครองอาณาเขตนี้และเข้าสู่ยุคทองของอายธรรมอินเดียโบราณ มีราชวงศ์ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนเข้ามาครองครองเอเชียใต้จำนวนมากทั้งจาลุกยะ ราษฏรกูฏ ฮอยซาลา และวิชัยนคร ท่ามกลางความรุ่งเรืองของวิทยาศาสตร์ วิศวกรรม ศิลปกรรม วรรณกรรม และปรัชญาซึ่งอุปถัมภ์โดยกษัตริย์องค์ต่างๆ
ในขณะเดียวกัน ราชวงศ์ฮั่นได้ยึดครองเอเชียตะวันออกเป็นจักรวรรดิจีนที่เก่าแก่ ราชวงศ์ฮั่นได้รับยกย่องว่าเป็นโรมตะวันออก (Rome of China) ซึ่งอยู่อีกด้านหนึ่งของเส้นทางสายไหม ในขณะที่แสนยานุภาพทางทหารของโรมันแทบไม่สามารถเอาชนะได้ จีนฮั่นได้พัฒนาการทำแผนที่ การต่อเรือ และการเดินเรือ โลกตะวันออกได้สร้างเตาหลอมโลหะ ทำให้สามารถผลิตเครื่องมือจากทองแดงที่สามารถปรับแต่งได้อย่างละเอียด เช่นเดียวกับพื้นที่อื่นๆ ในยุคโบราณ จีนฮั่นพัฒนาระบบการปกครอง การศึกษา คณิตศาสตร์ ดาราศาสตร์ และเทคโนโลยีอย่างก้าวกระโดด
Inca มัมมี่
มาชูปิกชู สัญลักษณ์ความรุ่งเรืองของจักรวรรดิอินคา
อารยธรรมอเมริกาเริ่มต้นเมื่อประมาณ 2000 ปีก่อนคริสตกาลในแถบเมโสอเมริกา [33] เกิดสังคมก่อนยุคโคลัมเบียนอย่างแหล่งอารยธรรมมายาและจักรวรรดิแอซเท็ก หลังจากการล่มสลายของวัฒนธรรมเริ่มต้นอย่าง วัฒนธรรมโอเมก [34] อารยธรรมมายาเริ่มขยายตัวในแถบยูกาตัง และจักรวรรดิแอซเท็ก ก็ได้รับเอาวัฒนธรรมข้างเคียง และกวาดต้อนเอาชนเผ่าต่างๆ เช่น ชนเผ่าทอลเต็ก
ในอเมริกาใต้ คริสตวรรษที่ 14 และ 15 มีการขยายตัวของจักรวรรดิอินคา จักรวรรดิอินคาแห่งตาวันตินซูยู ได้ตั้งเมืองกุสโกเป็นเมืองหลวง และขยายตัวไปตามเทือกเขาแอนดีส เป็นแหล่งอารยธรรมวงกว้างที่สุดอันหนึ่งก่อนยุคโคลัมเบียน[35][36] จักรวรรดิอินคามีความรุ่งเรืองและทันสมัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดระบบถนนของชาวอินคาและการก่ออิฐอย่างไม่มีใครเทียบได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น